วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554
ชมรม To Be Number One
วิสัยทัศน์ของชุมชนนาสะเม็ง
มุ่งสร้างสรรค์ให้เยาวชนนาสะเม็งรักความสะอาด ยิ้ม ไหว้ทักทาย เพียบพร้อมด้านคุณธรรม นำประชาธิปไตย ห่างไกลยาเสพติด ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
พันธกิจของฝ่ายกิจกรรม
1. ส่งเสริมและพัฒนาบุคลิกภาพและความประพฤติของนักเรียน เยาวชนให้อยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียนและกฎของชุมชน
2. ปลูกฝังด้านคุณธรรม จริยธรรม และประชาธิปไตยให้นักเรียน เยาวชนนำ ไปใช้ในชีวิตประจำวันและในสังคมอย่างมีความสุข
3. ส่งเสริมความเป็นผู้นำ ความสามารถตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554
Context Based Learning
โครงการสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งทางสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้วยกระบวนการ
การจัดการเรียนโดยใช้บริบทเป็นฐาน : Context Based Learning
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาสะเม็ง อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร
หลักการและเหตุผล
ระบบบริการปฐมภูมิ คือ หัวใจของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ถ้าอ่อนแอ จะทำให้ทั้งระบบไร้ประสิทธิภาพ การจัดการระบบบริการปฐมภูมิให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ต้องอาศัยทั้งศาสตร์ด้านการแพทย์ และศาสตร์ทางด้านสังคมจิตวิทยา ที่เหมาะสมกับบริบท ซึ่งผู้นำการจัดการระบบบริการปฐมภูมิ คือ แกนหลักในการขับเคลื่อนระบบ เพื่อพัฒนาบุคลากรที่เป็นผู้นำการจัดการเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยเน้นรูปแบบการเรียนรู้ที่ใช้ในหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายเป็นฐาน ( Learning at the Workplace) เพื่อเสริมยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบสาธารณสุขในประเทศไทย
การพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการปฏิรูประบบสาธารณสุขหรือระบบสุขภาพตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้แนวคิด “ ชุมชนเป็นเจ้าของสุขภาวะชุมชน” ดังนั้น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จะต้องปรับบทบาทของผู้ให้บริการแบบตั้งรับ หรือชี้นำสุขภาพของประชาชนมาเป็นผู้ให้ข้อมูลและทำหน้าที่เชื่อมประสานภาคส่วนต่าง ๆ ของชุมชนเข้ามาดำเนินงานร่วมกันผลักดันให้เกิดการสร้างสุขภาพให้มากขึ้น ลดภาวการณ์เจ็บป่วย ควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เกิดสมดุลแห่งสุขภาพชุมชน ประชาชน ชุมชน ภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและท้องถิ่น มีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งในการดำเนินการพัฒนา ขับเคลื่อนพลังชุมชนร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นระบบสุขภาพสุขภาพชุมชนที่ครอบคลุมถึง ความกินดี พอดีอยู่ดี ความอยู่เย็นเป็นสุขและความมั่นคงในชีวิตได้อย่างยั่งยืนและถือเป็นการดำเนินงานโดยยึดหลักการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง และเพื่อให้การพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนมีรูปธรรม และมีการพัฒนาด้านการจัดการสุขภาพรูปแบบใหม่ด้วยภูมิปัญญาและการรวมพลังชุมชนในท้องถิ่น เสริมสร้างศักยภาพในการตัดสินใจต่อการจัดการปัญหาที่กระทบต่อสุขภาพของตนเองได้มากขึ้น สนับสนุนการสร้างนวัตกรรมสุขภาพชุมชน โดยผ่านกลไกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพื่อสนับสนุนประชาชน ชุมชน คณะกรรมการ รพ.สต.และภาคีเครือข่าย ร่วมใช้พลังความคิดและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการส่งเสริมป้องกันและจัดการสุขภาพของประชาชน เอื้อให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสามารถพัฒนาด้านการบริการรักษาพยาบาลได้อย่างมีคุณภาพ ให้ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิโดยรวมเกิดประสิทธิภาพ และพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านสุขภาพแก่ภายในและภายนอกชุมชน
การสร้างสุขภาพในชุมชนโดยใช้กระบวนการเสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment) เป็นการพัฒนาศักยภาพของชุมชนสู่การพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพ โดยที่บุคลากรทางสุขภาพมีบทบาท สำคัญในการสนับสนุนและกระตุ้นให้ชุมชนเกิดการเรียนรู้ มีความตระหนักต่อการแก้ไขปัญหาสุขภาพและมีความมั่นใจว่าจะสามารถดูแลสุขภาพประชาชนในชุมชนโดยชุมชน การสร้างสุขภาพในชุมชน จะนำมาซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมของประชาชน ลดปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ ลดปัญหาสุขภาพที่ป้องกันได้ ลดการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ และนำไปสู่สังคมสุขภาวะต่อไป
เป้าหมาย
ร่วมสร้างชุมชนสุขภาวะที่มีความเข้มแข็ง ประชาชนสามารถจัดการปัญหาและพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพ ประชาชนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการพัฒนาภาวะผู้นำด้านส่งเสริมสุขภาพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ส่งเสริมสนับสนุนภาคีเครือข่ายในท้องถิ่นเรียนรู้เรื่องสุขภาพร่วมกับชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชนและสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้เจ้าหน้าที่และเครือข่ายสุขภาพมีศักยภาพในการจัดการเรียนรู้การดูแลสุขภาพด้วยตนเองของชุมชนเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
2. เพื่อให้ภาคีเครือข่าย มีศักยภาพในการสร้างและพัฒนานวัตกรรมสุขภาพของชุมชน
3. สรุปบทเรียนการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนในพื้นที่ รพ.สต.นาสะเม็ง
4. เพื่อเสริมสร้างพลังอำนาจให้แกนนำชุมชนสามารถจัดกิจกรรมสร้างสุขภาพในชุมชน โดยชุมชน และเพื่อชุมชน
พื้นที่ดำเนินการ
1. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาสะเม็ง
2. หมู่ที่ 1,2 บ้านนาสะเม็ง ตำบลนาสะเม็ง อำเภอดอนตาล
วิธีดำเนินการ
1. ทีม Context Based Learning : CBL รพ.สต.ร่วมพัฒนาแนวคิดการมีส่วนร่วมของชุมชน
2. ดำเนินการทำงานในพื้นที่ตามบริบท รวมทั้งจัดกิจกรรมบริการตามหลักเวชศาสตร์ครอบครัว
3. ดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบบริการ ดังนี้
3.1 รพ.สต.มีการสำรวจความต้องการพัฒนาตนเองของเจ้าหน้าที่
3.2 การวางแผนฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาล โดยกำหนดจุดฝึก จำนวนเจ้าหน้าที่และระยะเวลาฝึก โดยช่วงแรกจะเน้นเรื่องการรักษาพยาบาล
3.3 การประชุมวิชาการกันเองโดย รพ.สต. และการให้ รพ.สต.ร่วมประชุมวิชาการกับโรงพยาบาล
3.4. การให้คำปรึกษาโดยแพทย์และพยาบาลแก่เจ้าหน้าที่ รพ.สต. ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ การเรียนรู้ แบบนี้มีข้อตกลงเบื้องต้น คืออ้างอิงทฤษฎีการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ (Adult learning) ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เรียนเพื่อทำงาน แรก ๆ โรงพยาบาลจะจัดให้ก่อน ถ้าผู้เรียนประเมินว่าไม่ดี ก็จะปรับให้
4. ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
งบประมาณ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร ภายใต้โครงการสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งทางสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 100,000.- บาท ( หนึ่งแสนบาทถ้วน.-)
ตัวชี้วัดความสำเร็จ
2. มีกลไกการดำเนินงานพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนระหว่างหน่วยงาน ในทุกระดับ
3. มีต้นแบบการพัฒนาบุคลากร รพ.สต.โดยใช้ชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. เกิดชุมชนเข้มแข็งด้านการพัฒนาการมีส่วนร่วมในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในการจัดระบบสุขภาพชุมชนที่เป็นรูปธรรมและมีความยุ่งยืน
2. การบริการสุขภาพปฐมภูมิภายใต้การนำหลักเวชศาสตร์ครอบครัวมาใช้เป็นที่รู้จักและยอมรับจากประชาชน
3. มีต้นแบบการพัฒนาบุคลากร รพ.สต.โดยใช้ชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้
ผู้เสนอโครงการ
( นางสมร แคนติ )
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาสะเม็ง
แนวทางการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบ
แนวทางการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบ
ลดโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด
.................................................................................
1. ทำไม ต้องมีหมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ
ปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสม ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อม และวิถีการดำเนินชีวิต ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนเป็นหลายโรคพร้อมกัน ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ โดยประชาชนจะต้องใส่ใจและดูแลตนเองด้วยการมีพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์และควบคุมความเครียด
ทั้งนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดย กองสุขศึกษาได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดูแลสุขภาพ เพื่อลดอัตราเพิ่มของการเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าว ด้วยการจัดทำโครงการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ ครอบคลุมทั่วประเทศ รวม 152 หมู่บ้าน โดยการส่งเสริมให้ประชาชนในหมู่บ้านและประชาชน มีการออกกำลังกาย ตามวิถีชีวิต กินผักและผลไม้สดที่ปลูกเองหรือผักพื้นบ้านที่สามารถหารับประทานได้ง่าย ตลอดจนมีการจัดปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ อันจะส่งผลให้ประชาชนมีการสร้างสุขภาพที่ยั่งยืนและมีสุขภาพดีต่อไป
2. หมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ คืออะไร
คือ หมู่บ้านที่ประชาชนมีการออกกำลังกายตามวิถีชีวิตอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 วัน วันละอย่างน้อย 30 นาที ร่วมกับการ กินผัก ผลไม้สด วันละอย่างน้อย 5 ขีด ขึ้นไป (ครึ่งกิโลกรัม) และ
ลดอาหารไขมัน ภายในหมู่บ้าน มีถนนหรือสถานสำหรับการออกกำลังกาย ชุมชน/ครัวเรือน มีการปลูกผักปลอดสารพิษกินเอง และมีแหล่งน้ำที่สามารถใช้ในการเพาะปลูก ตลอดจนมีสถานที่ในการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด
3. หมู่บ้านแบบไหน? คือหมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ
* เป็นหมู่บ้านที่:
1. ประชาชนออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 วัน
วันละอย่างน้อย 30 นาที
2. ประชาชนกินผัก ผลไม้สด วันละอย่างน้อย 5 ขีด ขึ้นไป (ครึ่งกิโลกรัม)
และลดอาหารไขมัน
* เป็นหมู่บ้านที่ :
1. มีถนนหรือสถานที่สำหรับการออกกำลังกาย
2. มีการจัดกิจกรรมการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในหมู่บ้าน มีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการกินผัก ผลไม้สดและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. มีแหล่งน้ำที่สามารถใช้ในการเพาะปลูก เช่น สระ คู คลอง หนอง บึง
4. ครัวเรือน/ชุมชนมีการปลูกผักปลอดสารพิษกินเอง
5. มีแหล่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
*เป็นหมู่บ้านที่:
ประชาชน ผู้นำชุมชน กลุ่ม ชมรม หน่วยงานท้องถิ่น ต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเพื่อการลดโรค
4. ได้ประโยชน์อะไรจากการเป็นหมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ
1. ประชาชนลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด
2. สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของประชาชน
3. หมู่บ้านได้รับการประกาศยกย่องให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ
4. หมู่บ้านเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเพื่อการลดโรคของประชาชน
5. พื้นที่เป้าหมาย
หมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ 152 หมู่บ้าน ใน 76 จังหวัด โดยคัดเลือกหมู่บ้านดังนี้
1. เป็นหมู่บ้านในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลสายใยรักแห่งครอบครัว
จำนวน 1 หมู่บ้าน
2. เป็นหมู่บ้านที่มีปัจจัยเอื้อ คือ มีลานกีฬาหรือถนน สำหรับการออกกำลังกาย มี พื้นที่และแหล่งน้ำเพื่อการปลูกผักปลอดสารพิษกินเอง จำนวน 1 หมู่บ้าน
6. เส้นทางสู่หมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ
6.1 ทุกจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการและกรุงเทพมหานคร
1. กำหนดผู้รับผิดชอบ และคัดเลือกหมู่บ้านเข้าร่วมโครงการจังหวัดละ 2 หมู่บ้านตามเกณฑ์การคัดเลือกพื้นที่เป้าหมาย ในข้อ 5
2. จัดทำแผนพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบลดโรค ทั้งนี้โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของหน่วยงานและภาคีเครือข่ายสุขภาพทีเกี่ยวข้อง อาทิ เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังวัด/อำเภอ และสถานีอนามัยที่รับผิดชอบพื้นที่ ประชาสัมพันธ์จังหวัด เกษตรอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น / เทศบาล /อบจ/อบต สถานศึกษา อาสาสมัครสาธารณสุข กลุ่ม/ชมรมผู้สูงอายุ ชมรมออกกำลังกาย ผู้นำชุมชน ฯลฯ ซึ่งอาจจะดำเนินงานในรูปของคณะทำงานหรือคณะกรรมการแล้วแต่ความเหมาะสม ประกอบด้วยกิจรรมหลักดังนี้
2.1 สำรวจสถานการณ์ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการออกกำลังกายกินผัก ผลไม้สด และอาหารไขมันของประชาชน
2.2 กิจกรรมการเรียนรู้ด้านสุขภาพ เช่น จัดเวทีประชาคม จัดประชุม/อบรมจัดนิทรรศการ ตลาดนัดสุขภาพ จัดค่ายสุขภาพ
2.3 จัดให้มีสถานที่/แหล่ง การออกกำลังกาย ปลูกผักปลอดสารพิษ และ
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของหมู่บ้าน/ชุมชน
2.4 กิจกรรมกระตุ้นให้ประชาชนในหมู่บ้านมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 วัน วันละอย่างน้อย 30 นาที กินผัก ผลไม้สด วันละอย่างน้อย 5 ขีด ขึ้นไป
(ครึ่งกิโลกรัม) และลดอาหารไขมัน อาทิเช่น
- การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อชุมชน ได้แก่ หอกระจายข่าว
วิทยุชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข แกนนำชุมชน เยาวชน แผ่นปลิว ผ้าป้าย
- จัดกิจกรรมรณรงค์ในชุมชน
2.5. เฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนด้านการออกกำลังกาย
กินผัก ผลไม้สด และอาหารไขมัน
2.6. รายงานผลการดำเนินงานให้แก่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
3 . ดำเนินการตามแผนการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ
4 . ประสานการใช้ทรัพยากรและสิ่งสนับสนุนการดำเนินงาน พัฒนาหมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ จากกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่าง ๆ อาทิเช่น สำนักงานสาธารณสุขจังวัด/อำเภอ และสถานีอนามัยที่รับผิดชอบพื้นที่ประชาสัมพันธ์จังหวัด เกษตรอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/ เทศบาล /อบจ /อบต สถานศึกษา อาสาสมัครสาธารณสุข กลุ่ม/ชมรมผู้สูงอายุ ชมรมออกกำลังกาย ผู้นำชุมชน ฯลฯ
5. ประเมินผลการดำเนินงานพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ เพื่อเตรียม
หมู่บ้านส่งเข้าประกวด
6. ได้รับการประกาศให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบลดโรคฯ และเป็นแหล่งแลกเปลี่ยน
เรียนรู้ ศึกษาดูงาน แก่หมู่บ้าน/ชุมชนอื่น
แนวทางการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคติดต่อระบบทางเดินอาหารและน้ำ
แนวทางการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคติดต่อระบบทางเดินอาหารและน้ำ
แบบบูรณาการ จังหวัดมุกดาหาร ปี ๒๕๕๔
การดำเนินงานการ
1.การจัดทีมปฏิบัติงาน - ทุกอำเภอมีการจัดตั้งทีมปฏิบัติงานในระดับอำเภอ ทีม (SRRT)
การดำเนินการ
1.1 จัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคอหิวาตกโรคระดับจังหวัด โดยให้มีการประสานงานระหว่างศูนย์วิชาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเทศบาลและ อบต.
1.2 จัดตั้งคณะทำงานป้องกันและควบคุมโรคอหิวาตกโรคระดับอำเภอ เพื่อทำหน้าที่เป็นทีมปฏิบัติงานเฝ้าระวังและควบคุมโรคเชิงรุก
1.3 ประชุมคณะกรรมการและคณะทำงานระดับอำเภอ เพื่อรับทราบแนวทางและรูปแบบ
การดำเนินงาน 1 ครั้ง ก่อนฤดูกาลระบาด ในช่วงเดือน มกราคม-เมษายน
2. วิเคราะห์ข้อมูลทางระบาดวิทยาเพื่อกำหนดพื้นที่ที่มีโอกาสการเกิดโรคสูง
เกณฑ์มาตรฐาน อำเภอวิเคราะห์และใช้ข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรการในการป้องกันโรค เช่น
- ร้อยละของผู้ป่วยที่เป็นประชาชนในพื้นที่
- ร้อยละของผู้ป่วยที่เป็นผู้เคลื่อนย้ายมาทำงาน
- สถานที่ซึ่งมักเป็นแหล่งโรคในพื้นที่นั้นๆ เช่น โรงฆ่าสัตว์ ตลาดสด
- ช่วงเวลาที่มักมีผู้ป่วยเกิดขึ้นมาก โดย เฉพาะช่วงเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์
- อาหารที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค เช่น ลาบดิบ อาหารทะเล อาหารที่ปรุงจากกะทิ อาหารสุกๆ ดิบๆ อื่นๆ
- พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดโรค เช่น ซื้อ/ ปรุงอาหารทิ้งไว้นาน การเก็บอาหารไว้ นาน นอกตู้เย็น
- เกณฑ์มาตรฐานจากการสำรวจสุขาภิบาลอาหารและสิ่งแวดล้อม
การดำเนินการ
วิเคราะห์หาพื้นที่ /บุคคล/ ปัจจัย ที่เอื้อต่อการระบาดของโรคอหิวาตกโรค
โดยใช้ข้อมูลแหล่งต่างๆ เช่น
n ระบบ รง. ๕๐๖
n รายงานการสอบสวนโรค
n ข้อมูลการเฝ้าระวังคุณภาพอาหาร น้ำดื่ม
ข้อมูลการเฝ้าระวังโรคอุจจาระร่วง เพราะเมื่อจะมีการระบาดของโรคอหิวาตกโรคเกิดขึ้น มักมีผู้ป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันเพิ่มขึ้นผิดปกติเพื่อกำหนด พื้นที่/บุคคล ที่เป็นเป้าหมาย และมาตรการป้องกันการระบาดของโรค
๓. เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ และสุ่มตรวจหาเชื้อในอาหาร น้ำดื่ม น้ำใช้ ภาชนะและ
มือผู้ประกอบอาหารจำหน่าย
เกณฑ์มาตรฐาน
- น้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำดื่มเก็บกักในภาชนะ ตรวจไม่พบโคลิฟอร์มแบคทีเรีย
- น้ำประปา ตรวจพบปริมาณคลอรีนตกค้างไม่น้อยกว่า ๐.๒ ppm.
- น้ำใช้ที่เป็นน้ำเก็บกักในภาชนะ ตรวจไม่พบโคลิฟอร์มแบคทีเรีย
วิธีการดำเนินงาน
- ชุมชน เก็บตัวอย่างน้ำดื่ม น้ำใช้ ทุกครั้งที่สำรวจ โดยใช้ ว 110 /ชุดตรวจหาคลอรีน ในน้ำในช่วงเดือน มกราคม - มีนาคม ในระบบประปา ทุกขนาด
- ตลาดสด/แผงลอย/ร้านอาหาร สุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร น้ำแข็ง น้ำดื่ม ภาชนะ และมือผู้ประกอบอาหารจำหน่าย ที่สงสัยว่าจะเป็นพาหะนำโรคได้ ทุกครั้งที่สำรวจโดยใช้ ว 110 และ SI-2 ในช่วงเดือน
มกราคม - พฤษภาคม
๔. สุ่มตรวจอุจจาระหาเชื้อในผู้ปรุงและจำหน่ายอาหาร และผู้ที่สงสัย/อาหารที่เสี่ยง
เพื่อค้นหา อาหาร/ผู้ติดเชื้อ อหิวาตกโรค
เกณฑ์มาตรฐาน
n ผู้ปรุงและจำหน่ายอาหาร ต้องไม่เป็นพาหะนำโรคอหิวาตกโรค
n ผู้สงสัยเป็นพาหะนำ/ผู้ป่วย โรคอหิวาตกโรค
n อาหารที่เสี่ยง
เป้าหมาย
-สุ่มตรวจผู้ประกอบการ/บุคคลเสี่ยง โดยการทำ Rectum Swab / อาหารที่เสี่ยง ดังนี้
๑.ผู้ประกอบการเขียงเนื้อ ทุกราย
๒.ผู้ประกอบการปรุงและจำหน่ายอาหาร อื่นๆ หรือ บุคคลเสี่ยง ในเขต สถานบริการสาธารณสุขระดับตำบล อย่างน้อยแห่ง ละ ๕ ตัวอย่าง โรงพยาบาลชุมชน อย่างน้อย รพ.ละ ๑๐ ตัวอย่าง
๓.อาหารที่เสี่ยง เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารสำเร็จรูป อาหารที่ทำจากกะทิ อาหารทะเล อาหารประเภทหมัก เป็นต้น สถานบริการสาธารณสุขระดับตำบล อย่างน้อยแห่ง ละ ๒ ตัวอย่าง โรงพยาบาล อย่างน้อย รพ. ละ ๓ ตัวอย่าง โดยเก็บใน Carry Blair และเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิ ๒-๘ .c
ระยะเวลาดำเนินการ 1.เก็บตัวอย่างในช่วง มกราคม - มีนาคม ๒๕๕๔
2.ส่งตัวอย่างในช่วงมกราคม - มีนาคม ๒๕๕๔ โดย สสอ.รวบรวม ส่ง สสจ.
3.ดำเนินการควบคุมและป้องกันโรค หลังทราบผลการตรวจ
๕.เฝ้าระวังผู้ป่วยโรคอหิวาตกโรคในสถานบริการ
เกณฑ์มาตรฐาน
- ทำ RSC ในผู้ป่วยนอก (OPD) ร้อยละ ๑๐
- ทำ RSC ในผู้ป่วยใน (IPD) ร้อยละ ๑๐๐
- รพ.สต.เก็บ RSC ในผู้ป่วย Watery Diarrhea ทุกราย
กรณีผู้ป่วยมีอาการคล้ายโรคอหิวาตกโรคทุกรายทีมแพทย์ต้องรายงานให้ที SRRT และห้องตรวจปฏิบัติการทราบเพื่อออกสอบสวนโรคทันที
๖. จัดเตรียมเวชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับสนับสนุนการป้องกันและควบคุมโรค
เกณฑ์มาตรฐาน
- เวชภัณฑ์ ได้แก่ ORS, Tetracycline
- เคมีภัณฑ์ ได้แก่ ผงปูนคลอรีน, โซดาไฟ,น้ำยาโซล,
- Carry Blair stock ไว้ใน รพ.สต. จำนวน ๕ ชุด
- น้ำยา ว.110,ชุดทดสอบ SI2,ชุดตรวจวัดคลอรีน
เป้าหมายสนับสนุน
๑. น้ำยา ว.110/,ชุดทดสอบ SI2
๒. Carry Blair
๓. ชุดตรวจหาเชื้อ Vibrio
๗ .ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขสภาวะสุขาภิบาลและสุขาภิบาลอาหารที่ไม่ได้ตามข้อกำหนดโดยขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เกณฑ์มาตรฐาน
๗.๑ ชุมชนก่อสร้าง, สถานีขนส่งผู้โดยสาร
- น้ำดื่ม-น้ำใช้ ได้คุณภาพตามข้อกำหนด
- มีส้วมเพียงพอ สะอาดและอยู่ในสภาพที่ดี)
- มีการกำจัดขยะมูลฝอยและระบายน้ำเสีย
๗.๒ ตลาดสด/แผงลอย/ร้านอาหาร
- ปรับปรุงสภาพการสุขาภิบาลให้ถูกตามหลักสุขาภิบาลอาหาร
- ให้มีการล้างตลาดตามหลักสุขาภิบาลโดยมีการใช้สารชำระล้างและสารฆ่าเชื้อโรค
การดำเนินการ
- ให้ข้อมูลส่วนที่ไม่ได้ตามข้อกำหนดแก่ผู้รับเหมาหรือผู้รับผิดชอบในแหล่งก่อสร้างเพื่อดำเนินการแก้ไขให้ได้มาตรฐาน
- ประสานงานกับเทศบาล,อบต. การประปา เพื่อให้การสนับสนุนการปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่ไม่ได้ตามข้อกำหนด
๘. ให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์ในเรื่องการป้องกันและดูแลรักษาโรคอุจจาระร่วงขั้นต้นแก่ประชาชน
เกณฑ์มาตรฐาน การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชน ในเรื่อง
๑. การล้างมือก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าส้วมด้วยสบู่
๒. การรับประทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุก
๓. การดื่มและใช้น้ำที่สะอาด
๔. การส่งเสริมให้มีส้วมที่ถูกสุขลักษณะ มีการใช้และการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้
๕. การดูแลระบบการกำจัดน้ำเสียให้ถูกสุขลักษณะ
๖. การส่งเสริมมารดาให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
๗. การส่งเสริมให้รู้จักรักษาโรคอุจจาระร่วงขั้นต้นที่บ้าน กฎ ๓ ข้อ โดยเน้นการให้ ORT, ORS
การดำเนินการ
- รณรงค์สัปดาห์ป้องกันและดูแลรักษาโรคอุจจาระร่วงขั้นต้นแก่ประชาชน (๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๓)โดยการให้สุขศึกษาลักษณะรายบุคคลและรายกลุ่มโดยวิธีนัดหมาย จัดหน่วยประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ จัดนิทรรศการและใช้สื่อเผยแพร่ต่างๆ แก่ประชาชนในชุมชน
-การประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ การใช้สื่อเอกสารสิ่งพิมพ์ ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการและผู้ขายอาหารเสี่ยง บริเวณตลาดสด/แผงลอย/ร้านจำหน่ายอาหาร ในเรื่อง ความสะดวก การเตรียม และการจำหน่ายอาหาร
๙. สำรวจและเก็บข้อมูลสภาวะสุขาภิบาลอาหารครั้งที่ ๒ เพื่อเปรียบเทียบและประเมินผลความก้าวหน้าของการปรับปรุงแก้ไข
เกณฑ์มาตรฐาน
- มีการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นภายในระยะเวลา 1 เดือน หลังจากผลการสำรวจครั้งแรก ข้อ ๓
การดำเนินการ
- ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการติดตามสำรวจและหาข้อมูล
- ติดตามและประมวลผลจากการดำเนินงานแก้ไขปรับปรุงในส่วนที่ไม่ได้เกณฑ์มาตรฐาน
10. เมื่อมีรายงานผู้ป่วยโรคอหิวาตกโรคเกิดขึ้น ให้ทีม (SRRT)ออกปฏิบัติงานเพื่อสอบสวนและควบคุมโรคเชิงรุกภายใน ๓ ชั่วโมง นับตั้งแต่ได้รับรายงานและจะต้องควบคุมโรคให้สงบภายใน ๑๐ วัน หรือไม่เกิน generation ที่ ๒
เกณฑ์มาตรฐาน
๑๐.๑ให้การรักษาผู้ป่วย
- ตามแนวทางการบำบัดรักษาของกรมควบคุมโรค
๑๐.๒ ให้มีการค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมเพื่อให้การรักษาและตัดการแพร่กระจายของโรค
-ผู้สัมผัสโรคใกล้ชิดทุกรายหรือผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วงในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
จะต้องได้รับการตรวจอุจจาระหาเชื้อ และได้รับการจ่ายยา Tetracycline ครบทุกรายที่พบเชื้อ
๑๐.๓ ดำเนินการทำลายเชื้อในบริเวณที่ตรวจพบเชื้อ หรือสถานที่ที่สงสัยว่าจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อ และให้มีการใส่ผงปูนคลอรีนในแหล่งน้ำดื่ม น้ำใช้
- ตามเทคนิคการทำลายเชื้อ
๑๐.๔ สอบสวนเพื่อหาแหล่งโรคและเก็บตัวอย่างอาหาร น้ำ และสิ่งที่สงสัย ตรวจหาเชื้อในตัวอย่างอาหาร น้ำดื่ม น้ำใช้
- เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้นแม้เพียง ๑ ราย ให้ถือว่ามีการระบาด ซึ่งต้องทำการสอบสวนโรคทันทีทุกราย
- ตรวจหาเชื้อก่อโรคอหิวาตกโรคทางห้องปฏิบัติการ
๑๐.๕ การปรับปรุงคุณภาพน้ำ
- น้ำประปาต้องมีคลอรีนตกค้างไม่น้อยกว่า ๐.๒ ppm.
๑๐.๖ ติดตามเฝ้าระวังในจุดที่เกิดโรคเพื่อควบคุมกำกับและติดตามว่ามีผู้ป่วยใหม่เกิดขึ้นหรือไม่
- เฝ้าระวังโรค ๑๐ วัน ติดต่อกันเพื่อสามารถวินิจฉัยค้นหาผู้ป่วยใหม่ได้ และซักประวัติหาแหล่งโรค
การดำเนินการ
-ให้มีการรายงานผู้ป่วยที่มีการสงสัยและให้รายงานผลการตรวจอุจจาระหาเชื้อขั้นต้นภายใน 24 ชม.
เพื่อดำเนินการควบคุมโรคทันที
-ให้ถือเอายา Tetracycline เป็นยาปฏิชีวนะที่แนะนำให้ใช้เป็นอันดับแรก และจะต้องตรวจอุจจาระผู้ป่วยหลังได้ยาแล้วให้ผลการตรวจไม่พบเชื้อติดต่อกัน ๓ ครั้ง จึงจำหน่ายผู้ป่วย เพื่อป้องกันมิให้มี
การกลับไปแพร่เชื้อในชุมชน รวมทั้งให้มีระบบการรักษาฟรีทุกรายในพื้นที่ที่มีการเกิดโรค
- การเลือกใช้ยาปฏิชีวนะต้องคำนึงถึงความไวต่อยา หรือการดื้อยาของเชื้อในท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย
- การทำลายเชื้อและใช้ผงปูนคลอรีนให้ปฏิบัติตามแนวทางของกรมอนามัย
- เก็บตัวอย่างอาหาร น้ำดื่ม น้ำใช้ และสิ่งที่สงสัยส่งตรวจทุกแห่ง
- ตรวจวัดปริมาณคลอรีนตกค้างในน้ำดื่ม-น้ำใช้ หากไม่พบคลอรีน ให้ตรวจหาเชื้อโคลิฟอร์ม
แบคทีเรียและ Fecal coli form
- ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เทศบาล อบต. เป็นต้น
- เติมคลอรีนในแหล่งน้ำดื่ม ให้มีปริมาณคลอรีนตกค้าง (Residual Chlorine ) ได้ตามข้อกำหนด
- การเฝ้าระวัง ติดตาม
: ติดตามประสานงานกับผู้นำชุมชน ในการแจ้งข่าวการเกิดโรคและค้นหาผู้ป่วยรายใหม่
: เก็บตัวอย่างอุจจาระผู้ป่วยและผู้สัมผัสที่พบเชื้อส่งตรวจจนผลการชันสูตรไม่พบเชื้อ 3 ครั้ง
: ให้ยาปฏิชีวนะผู้สัมผัสที่ตรวจพบเชื้อทุกคน
: ติดตามให้ผู้ที่ได้ยามีการรับประทานยาตามขนาดและกำหนดเวลาโดยเคร่งครัด
๑๑. ติดตามประเมินผลสำเร็จ และวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน และรายงานผล
เกณฑ์มาตรฐาน
- รายงานการดำเนินการตรวจร้านผลิตน้ำดื่ม / น้ำแข็ง เดือนเมษายน- พฤษภาคม
- รายงานสรุปผลการสอบสวน ควบคุมโรค กรณีมีผู้ป่วยอหิวาตกโรค
- รายงานสรุปผลการค้นหาอาหาร/ผู้ติดเชื้ออหิวาตกโรค ช่วงเทศกาลสงกรานต์
- รายงาน ๕๐๖
- รายงานเฉพาะกิจโรคอุจจาระร่วงในสถานบริการ รายสัปดาห์ (เริ่ม ๑ เมษายน ๒๕๕๔
งบประมาณ
๑.จากงบประมาณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
๑.๑ ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ สสจ.สนับสนุนงบประมาณค่าตรวจรพช.ทุกแห่งที่รพ.มุกดาหาร
๑.๒ ค่าชุดตรวจอาหาร และน้ำ (งานโภชนาการรับผิดชอบ)
๒. จากงบประมาณ UC ของแต่ละ CUP
- ค่ายา ,ORS
๓. จากงบประมาณ อบจ. ,เทศบาล,อบต.
- ค่าผงปูนคลอรีน, โซดาไฟ,น้ำยาไลโซล และเคมีภัณฑ์ อื่น ๆ
ฝ่ายควบคุมโรค
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร
พฤศจิกายน ๒๕๕๔
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)