โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
: การทำงานชุมชนเชิงรุก
การพึ่งตนเองของประชาชน ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญของการทำงานสาธารณสุข ที่นับเนื่องมาจากงานสาธารณสุขมูลฐานที่ผ่านเข้ามาถึงทศวรรษที่ 4 โดยที่ประชาชนจะมีสุขภาพที่ดีได้ ต้องใช้ทั้งเรื่องการสาธารณสุขมูลฐาน และการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ ซึ่งระบบบริการสุขภาพมีที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันได้มีการพัฒนาเป็น “โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล” โดยยังมีผลลัพธ์ เรื่องบริการที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน การให้ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ และการสร้างคุณภาพชีวิต โดยยึดชุมชนเป็นฐานในการทำงาน มีจุดเน้นสำคัญหนึ่งในสามเรื่องคือ การดำเนินการเชิงรุก ที่ให้ความหมายมุ่งเข้าหาประชาชนและชุมชนเพื่อการสร้างสุขภาพ เป็นหลักรวมทั้งมุ่งจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ ซึ่งการสร้างเสริมสุขภาพ หมายถึง กระบวนการสร้างเสริมให้ประชาชนเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมสุขภาพ และกำหนดสุขภาพ เพื่อให้มีสุขภาพดีทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม (WHO, 1986)
1. รู้ได้อย่างไรว่า ทำงานชุมชนเชิงรุก
การตรวจสอบว่าสิ่งทำเป็นการทำงานเชิงรุกหรือไม่นั้น พิจารณาจากเห็นเป้าหมายการทำงานชัดเจน รู้ว่าต้องการให้ชุมชนเป็นอย่างไร ไม่รอให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยดำเนินการ หรือมีปัญหาเกิดขึ้นได้ลงไปทำที่สาเหตุของปัญหา และทำให้ปัญหาที่เกิดเป็น “ปัญหาของชุมชน” หากเป็นปัญหาสาธารณสุขชุมชนมักกล่าวว่า “ปัญหาสาธารณสุขก็ให้หมอแก้ไป ไม่ใช่ปัญหาของชาวบ้าน” การทำงานเชิงรุก ต้องสามารถเข้าไปนั่งในใจกลางปัญหา และกลางใจของผู้คน ดังกรณีตัวอย่างต่อไปนี้
ไม่ต้องรอให้สังคมไทยมีแต่ผู้สูงอายุแล้วค่อยจัดบริการ ยี่สิบปีสังคมไทยจะกลายเป็นโลกของผู้สูงอายุ คือมีผู้สูงอายุมากเกือบถึง 1 ในสี่และจะมีผู้สูงอายุที่อยู่ลำพังมากขึ้น หากจัดบริการแบบเดิมคือ เห็นผู้สูงอายุเป็นผู้รับบริการที่ต้องลงไปช่วยให้ถึงบ้าน แต่คิดแบบ “เชิงรุก” คือให้ชุมชนร่วมเห็นทางเดินข้างหน้า เตรียมชุมชนให้พร้อมรับมือโจทย์นี้ ทำอย่างไรจะสามารถดึงพลังผู้สูงอายุมาร่วมออกแบบชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่ยาวนานที่สุด ชุมชนมีการจัดทำห้องน้ำ ทางเดินสำหรับผู้สูงอายุเพื่อลดอุบัติเหตุที่มักเกิดขึ้นบ่อย เตรียมความพร้อมของคนวัยกลางคนที่จะเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุในวันข้างหน้า ให้มีสุขภาพกาย ใจ ที่แข็งแรง มีชุมชนกลุ่มคนที่เกื้อหนุนให้ผู้สูงอายุได้ออกมาแสดงบทบาทตนเอง เป็นต้น
เด็กติดยาเสพติดในชุมชนต้องแก้ที่สาเหตุ ไม่ใช้แค่การนำเด็กไปรับการบำบัด แต่ต้องชวนชุมชนร่วมวิเคราะห์ถึงสาเหตุและสิ่งแวดล้อมของการติดยาของเยาวชน อาจพบว่าเด็กในยุคปัจจุบันมี “ความว่าง” ที่เกิดขึ้นในชีวิตตนเอง ครอบครัวไม่อบอุ่น เด็กมีเวลาว่างอยู่กับตนเองมากเกินไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้ชุมชนและมีผู้ส่วนได้เสียคือเยาวชน ต้องรับรู้และเข้ามาเป็นเจ้าของปัญหา และเข้าไปจัดการฐานครอบครัวและความว่างของเยาวชนโดยการหากิจกรรมที่พัฒนาตัวศักยภาพของเยาวชน โดยมีผู้ใหญ่ใจดีเป็นผู้สนับสนุน
เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไม่ใช่เพียงแค่บอก วลีเด็ดสำหรับเรื่องอาหาร “ลด หวาน มัน เค็ม” และทำกิจกรรมคัดกรองความเสี่ยง วิถีชีวิตผู้คนและนิเวศวิทยาในสังคมยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในด้านอาหารจากเดิมที่เคยมีแหล่งอาหารในครอบครัวกลายเป็นการซื้อของจากรถพุ่มพวง อาหารถุงสำเร็จรูปที่มีเครื่องปรุงรสและกระติกกาแฟที่มีบริการถึงที่นา ดังนั้นการใช้วลีดังกล่าวอาจจะไม่สามารถทำให้ครอบครัวหนึ่งมีการปรับพฤติกรรมได้อย่างง่ายนักหากไม่มีตัวช่วย การทำงานเชิงรุกจึงมีการวิเคราะห์หาทางเลือกใหม่ นอกจากจะให้ครอบครัวหันกลับมาใส่ใจคุณภาพอาหารปลูกผักปลอดสารเพื่อสุขภาพแล้ว ในบางครอบครัวไม่มีเงือนไข ชุมชนสามารถบริหารให้คนในชุมชนได้บริโภคผักปลอดสารจากการทำของสมาชิกในชุมชน ยังมีผู้มีส่วนได้เสียเกิดขึ้นคือผู้ทำอาหารในชุมชนลดการใส่ผงชูรส กลุ่มแม่บ้านไม่ใส่ผงชูรสในงานชุมชน เปลี่ยนมาเป็นผงนัวที่ทำใหรสชาติกลมกล่อมขึ้น ผู้ขายกาแฟลดน้ำตาลลง การประชุมที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีนโยบายงดเสริฟอาหารว่างด้วยกาแฟ และโอวัลติน งานชุมชนงดการเลี้ยงน้ำอัดลม และใช้น้ำสมุนไพรที่มีน้ำตาลน้อยลง ในศูนย์เด็กเล็กของชุมชนมีการฝึกนิสัยการกินของเด็กรุ่นใหม่เรื่องผัก และลดการกินขนมกรุ๊บกรอบ มีนโยบายไม่ให้นำขนมถุงมาศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียนมีมาตรการใส่ใจร้านค้าในโรงเรียน ลดการใช้เครื่องปรุง ไม่มีการขายน้ำอัดลมในโรงเรียน
2. เครื่องมือสำคัญของการทำงานเชิงรุกในชุมชน
มีเครื่องมือสำคัญอยู่ 2 กลุ่มที่นำมาเป็นตัวช่วยในการทำงานเชิงรุกในชุมชน ชุดแรกเป็นเรื่องของคน ชุดที่สองเป็นเรื่องเครื่องมือวิธีทำงาน
คน สำหรับการทำงานเชิงรุก คนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การทำงานเชิงรุกจะยากหรือง่ายไม่ได้อยู่ที่งานหรือการปฏิบัติแต่อยู่ที่ใจและวิธีคิด คนที่พูดและนึกถึงปัญหาในการทำงานอยู่เสมอ ไม่มีทางที่จะทำงานเชิงรุกได้เลย ส่วนคนที่นึกถึงความสำเร็จก็มักจะไม่กลัวปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นเพราะปัญหามีไว้เพื่อแก้นำไปสู่ความสำเร็จ เทคนิคการทำงานเชิงรุก Proactive สร้างพลังขับเคลื่อนให้กับการทำงาน เพื่อผลงานที่ดีและมีประสิทธิภาพ โดย อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์ : ในส่วนทัศนคติหรือมุมมองของคนที่ทำงานในเชิงรุก มีคำสำคัญดังนี้
· ศรัทธาในตนเอง
· คิดจะเป็นผู้ให้ มากกว่าผู้รับ
· มองโลกในทางบวก
· วันพรุ่งนี้ ย่อมดีกว่า วันนี้
· โอกาสแสวงหาได้จากตัวเรา วิกฤติคือโอกาส
· มองความผิดพลาดเป็นบทเรียน
· กล้าและพร้อมเผชิญกับปัญหา
· ความรู้ ความสามารถย่อมฝึกกันได้
· แผนงานที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
· ทุกคนย่อมมีความรู้ ความสามารถ
· ผู้บริหารเวลาที่ดีที่สุดคือเรา
· จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง
· จงเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร
· อนาคตเป็นสิ่งที่เราสร้างได้
· พร้อมเสมอสำหรับการเปลี่ยนแปลง
นอกจากเตรียมตนเองเพื่อการทำงานเชิงรุกแล้ว การทำงานชุมชนเชิงรุกที่เกี่ยวข้องกับผู้คน การปรับบทบาทของเจ้าหน้าที่จากผู้ให้ มาเป็นผู้สนับสนุน ผู้เอื้ออำนวยให้ชุมชนมองเห็นศักยภาพตนเอง ยังเป็นเรื่องการเข้าใจตนเองและชุมชนอย่างลึกซึ้ง
เทคนิค เครื่องมือ และโอกาส ที่มีอยู่ในมือ การเป็นคนทำงานชุมชนเชิงรุกท่ามกลางกระแสที่มีเครื่องมือลงมาสู่พื้นที่หลากหลาย สิ่งสำคัญคือ การทำความเข้าใจถึงแก่นหรือหัวใจและประโยชน์ของเครื่องมือนั้นมาเชื่อมและใช้อย่างต่อเนื่องจากเรื่องราวเดิม มิใช่เป็นเพียงเอาเทคนิคมาเป็นเครื่องมือชิ้นใหม่
PCA เป็นเครื่องมือช่วยกระตุ้นให้เกิดการประเมินตนเอง โดยการทบทวน ตรวจสอบ และประเมิน
แผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์ เห็นเป้าหมายการทำงานในระยะที่เป็นไปได้ร่วมกันของคนที่เกี่ยวข้อง สร้างการมีส่วนร่วมและรู้ว่าแต่ละคนมีบทบาทในจุดไหน เชื่อมโยงและส่งผลสำเร็จต่อเป้าหมายนั้นได้อย่างไร สามารถเชื่อมโยงยุทธศาสตร์กับการปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญเป็นการเปลี่ยนวิธีคิด ให้เริ่มคิดจากต้องการตอบสนองปัญหาของคนในชุมชน โดยวางบทบาทให้ประชาชนเป็นผู้กำหนดการแสดงบทบาทของตนเองในด้านสุขภาพ
สมัชชาสุขภาพตำบล เป็นเครื่องมือที่ต้องการให้มีการสร้างความรู้และ ความเข้าใจ จากการใช้ข้อมูล ความจริง ทำให้ระบบสุขภาพเป็นวาระของชุมชน เกิดการกำหนดนโยบายสาธารณะ จาก 4 ภาคส่วน และมีการทำแผนอย่างเป็นระบบ
กระบวนการสร้างการเรียนรู้ร่วมกันในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข โอกาสสำคัญของเจ้าหน้าที่ในยุคนี้ คือ อสม. มีการพบปะพูดคุยกันทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง หากสร้างเวทีดังกล่าวให้เป็นเวทีเรียนรู้ พูดคุย นำความจริงในชุมชนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จะทำให้เป็นการเพิ่มศักยภาพอย่างยั่งยืน มิใช่เพียงแค่นำรายงานมาส่ง แจ้งวาระการประชุม และเรื่องจากการประชุมาภายนอก ที่มิได้ทำให้เห็นว่าการมาแต่ละครั้งของ อสม. จะมาคุยเรื่องราวของคนในชุมชนตนเอง
การทำงานชุมชนเชิงรุกที่ปลุกไฟในตัวผู้คน ให้ลุกขึ้นมาเป็นเจ้าของปัญหาและเกิดปัญญา แม้จะใช้เวลาเดินทางที่ยาวไกลแต่ไม่เหนื่อยเปล่า หากกระบวนการเรียนรู้ของทุกฝ่ายได้เกิดขึ้นจริง ปัญญาจะเป็นเครื่องนำทางแม้จะมีปัญหาใหม่เกิดเข้ามาในชุมชน ชุมชนจะมีศักยภาพและอำนาจในการจัดการสุขภาพด้วยตนเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น